การศึกษาปัจจัยส่วนบุคคล คุณภาพชีวิตในการทางาน และความพึงพอใจ ที่มีผลต่อ ความผูกพันต่อองค์การของพนักงานโรงพยาบาลเอกชน กรณีศึกษาพนักงานโรงพยาบาล ราชธานี จังหวัดพระนครศรีอยุธยา

Abstract

งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยส่วนบุคคล คุณภาพชีวิตในการทางาน และความพึง พอใจ ที่มีผลต่อความผูกพันต่อองค์การ โดยใช้วิธีสารวจเก็บรวบรวมข้อมูลด้วยแบบสอบถามจากกลุ่ม ตัวอย่างจานวน 400 ชุด วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติพรรณนาใช้การแจกแจงความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สถิติอนุมานในการหาความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรในกลุ่มของปัจจัยส่วน บุคคลกับความผูกพันต่อองค์การ โดยการทดสอบความแตกต่างระหว่างค่าเฉลี่ย 2 กลุ่มด้วย t-test และทดสอบความแตกต่างระหว่างค่าเฉลี่ยตั้งแต่ 2 กลุ่มขึ้นไปด้วย F-test การหาความสัมพันธ์ ระหว่างตัวแปรในกลุ่มของคุณภาพชีวิตในการทางาน และความพึงพอใจ กับความผูกพันต่อองค์การ วิเคราะห์โดยการคานวณหาค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน ผลการศึกษาพบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง มีอายุสูงกว่า 45 ปี มีระดับการศึกษา ต่ากว่าปริญญาตรี มีระยะเวลาในการปฏิบัติงานน้อยกว่า 5 ปี มีความเห็นต่อคุณภาพชีวิตในการ ทางานโดยรวม มีค่าเฉลี่ยเป็น 3.25 ความพึงพอใจโดยรวม มีค่าเฉลี่ยเป็น 3.31 ผลการศึกษาความ ผูกพันต่อองค์การของกลุ่มตัวอย่างพบว่า กลุ่มตัวอย่างมีความผูกพันต่อองค์การโดยรวม มีค่าเฉลี่ย เป็น 3.37 และพบว่า บุคลากรที่มีเพศที่แตกต่างกันมีความผูกพันต่อองค์การไม่แตกต่างกัน ส่วนอายุ ระดับการศึกษา และระยะเวลาในการปฏิบัติงานที่แตกต่างกันมีความผูกพันต่อองค์การแตกต่างกัน ปัจจัยคุณภาพชีวิตในการทางานมีความสัมพันธ์เชิงบวกกับความผูกพันต่อองค์การ และด้านความพึง พอใจมีความสัมพันธ์เชิงบวกกับความผูกพันต่อองค์การ

The objectives of this research were to study the personal factors influencing the organizational commitment and to examine the relationship between the quality of work life and work satisfaction affecting the organizational commitment. The sample group included 400 employees at Rajthanee Hospital in Ayutthaya province. Questionnaires were used as the data collection tool. The statistical data analysis was conducted using the descriptive statistics including frequency, percentage, mean, standard deviation, and the inferential statistics including t-test, F-test, and Pearson’s Correlation Coefficient. Demographic data showed that most respondents were female, aged over 45 years old, had an academic degree lower than a bachelor’s degree, and worked at the hospital for less than 5 years. Their opinion on the overall quality of work life had a mean of 3.25, 3.31 on the overall work satisfaction, and 3.90 on the organizational commitment. The study revealed that their overall organizational commitment had a mean of 3.37. It was also found that personnel with different genders had no difference in their organizational commitment, while different ages, education, and length of work experience at the hospital did. In addition, both the quality of work life and the work satisfaction had a positive relationship with the organizational commitment.