การศึกษาปัจจัยที่มีอิทธิพลเชิงบวกต่อความตั้งใจที่จะใช้แอพพลิเคชั่นของผู้บริโภคของร้านแฟชั่น แบรนด์เนม A ในเขตลาดพร้าว บางกะปิ และบางนา จังหวัดกรุงเทพมหานคร

Abstract

งานวิจัยฉบับนี้มีจุดประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยของการรับนวัตกรรมส่วนบุคคลด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ (Personal Innovativeness in Information Technology) คุณภาพของระบบ (System Quality) ความไว้วางใจ (Trust) การอ้างอิงแบบปากต่อปาก (Word-of-Mouth Referrals) การรับรู้ถึงความง่ายในการใช้ (Perceived Ease of Use) ความภักดีต่อแบรนด์ (Brand Loyalty) ความตั้งใจในการเป็นสมาชิกของชุมชน (Community Membership Intention) ผู้ใช้แอพพลิเคชั่นร้านแฟชั่นแบรนด์เนม A ที่มีผลเชิงบวกต่อความตั้งใจที่จะใช้ (Intention to Use) แอพพลิเคชั่นร้านแฟชั่นแบรนด์เนม A ในเขตลาดพร้าว บางกะปิ และบางนา จังหวัดกรุงเทพมหานคร โดยเก็บข้อมูลใช้ระยะเวลาตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2557 ถึง มกราคม 2558 จำนวน 290 ชุด โดยใช้แบบสอบถามทำการวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าเฉลี่ย ร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และหาความสัมพันธ์โดยการทดสอบสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เพียร์สัน (Pearson’s Correlation Coefficient) และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ (Multiple Regression Analysis) ผลการวิจัยพบว่า ผู้ตอบแบบสอบถาม ส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง อายุ 26 - 30 ปี สถานภาพโสด ระดับการศึกษาปริญญาตรี รายได้ 20,001 - 30,000 บาทต่อเดือน อาชีพพนักงานบริษัทเอกชน ผลการทดสอบสมมติฐาน ถ้าเรียงตามลำดับความสำคัญแล้ว พบว่า ปัจจัยด้านความภักดีต่อแบรนด์ (Brand Loyalty) (β=0.379) และความตั้งใจในการเป็นสมาชิกของชุมชน (Community Membership Intention) ผู้ใช้แอพพลิเคชั่นแบรนด์เนม A (β=0.267) ที่มีผลต่อความตั้งใจที่จะใช้ (Intention to Use) แอพพลิเคชั่นร้านแฟชั่นแบรนด์เนม A ของผู้บริโภคกลุ่มดังกล่าว อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ผลลัพธ์จากการวิจัยนี้สามารถนำไปใช้ในการวางแผนและสร้างกลยุทธ์ทางการตลาดกับกลุ่มลูกค้าที่ชื่นชอบการใช้แอพพลิเคชั่นแฟชั่น

This research was aimed to study personal innovativeness in information technology, system quality, trust, word-of-mouth referrals, perceived ease of use, brand loyalty, community membership intention positively influencing intention to use the application of fashion company brandname A' s customers in Lat Phrao, Bang Kapi, and Bang Na districts in Bangkok. The data had been collected starting from November 2014 to January 2015. The 290 usable questionnaires were analyzed for the descriptive information by using the means, percentages, standard deviations, pearson’s correlation coefficients, and multiple regression analysis. The results showed that the respondents mostly were females at the age of 26 - 30 years old, single status, graduated with bachelor’s degrees, income 20,001 - 30,000 baht per month, working in offices in Thailand. The hypothesis testing results revealed in order of importance that the variables with best power predictors for intention to use were brand loyalty with beta coefficient of 0.379 and community membership intention with beta coefficient of 0.267 respectively at .01 of significant level. This research can be used for planning and creating the marketing strategies for an application fashion.