การเปิดรับข่าวสาร และความคิดเห็นต่อปัจจัยทางการตลาดประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจของผู้เอาประกันภัยในเขตกรุงเทพมหานคร

Abstract

การศึกษาเรื่อง “การเปิดรับข่าวสาร และความคิดเห็นต่อปัจจัยทางการตลาดประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจ ของผู้เอาประกันภัยในเขตกรุงเทพมหานคร” เป็นการศึกษาเชิงปริมาณ (Quantitative Research) ดำเนินการเก็บข้อมูลโดยการสำรวจ (Survey Research) โดยใช้แบบสอบถามปลายปิด มีวัตถุประสงค์ในการศึกษา 2 ข้อคือ 1) เพื่อศึกษาคุณลักษณะทางประชากรที่ต่อความคิดเห็นต่อปัจจัยทางการตลาดประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจ และ 2) เพื่อศึกษาการเปิดรับข่าวสารที่มีต่อความคิดเห็นต่อปัจจัยทางการตลาดประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจ โดยกลุ่มตัวอย่างที่ศึกษา คือ ลูกค้าผู้ถือกรมธรรม์รถยนต์ภาคสมัครใจของบริษัทประกันภัย ในเขตกรุงเทพมหานคร ระหว่างเดือนมกราคม – เดือนมิถุนายน พ.ศ. 2552 จำนวน 200 คน และนำมาวิเคราะห์ผลการศึกษาโดยใช้วิธีทางสถิติเชิงพรรณนา (Descriptive Statistics) ได้แก่ ค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และทดสอบสมมติฐานด้วยการใช้สถิติเชิงอนุมาน (Inferential Statistics) ในการวิเคราะห์ โดยใช้สถิติทดสอบ T-test ในการทดสอบความแตกต่างระหว่างค่าเฉลี่ยของตัวแปร 2 กลุ่ม และใช้สถิติทดสอบ One-Way ANOVA ในการทดสอบความแตกต่างระหว่างค่าเฉลี่ยของตัวแปรมากกว่า 2 กลุ่มขึ้นไป หากพบว่ามีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติความแตกต่างระหว่างคู่ การวิเคราะห์จะนำไปเปรียบเทียบเชิงซ้อน (Multiple Comparison) โดยใช้วิธีทดสอบแบบ LSD (Least Significant Difference) จากผลการศึกษาพบว่า กลุ่มตัวอย่าง 200 คน เป็นเพศหญิง 119 คน และเพศชาย 81 คน ส่วนใหญ่มีอายุระหว่าง 30-39 ปี มีการศึกษาอยู่ในระดับปริญญาตรี ประกอบอาชีพเป็นพนักงานบริษัทเอกชน และมีรายได้ต่อเดือน 20,001-40,000 บาท กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เลือกเปิดรับข่าวสารผ่านสื่ออินเตอร์เน็ต โดยให้เหตุผลว่ามีข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการเลือกซื้อ และมีความถี่ในการเปิดรับข่าวสารเกี่ยวกับประกันภัยรถยนต์ 1-2 ครั้งต่อสัปดาห์ ผลการศึกษาพบว่า ผู้เอาประกันภัยในเขตกรุงเทพมหานครมีความคิดเห็นต่อปัจจัยทางการตลาดประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจโดยรวมในระดับเห็นด้วย เมื่อแยกเป็นรายด้านพบว่า กลุ่มตัวอย่างมีความคิดเห็นต่อปัจจัยทางการตลาดประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจด้านความสำเร็จในการตอบสนองความต้องการของลูกค้า คือ บริษัทประกันภัยควรคำนึงถึงการให้บริการที่ดีแก่ลูกค้าเป็นอันดับแรก ในระดับเห็นด้วยอย่างยิ่งมากที่สุด ผลการทดสอบสมมติฐานที่ 1 พบว่า ผู้เอาประกันภัยในเขตกรุงเทพมหานครที่มีปัจจัยทางประชากรแตกต่างกัน มีตัวแปรบางตัวที่มีความคิดเห็นต่อปัจจัยทางการตลาดประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจโดยรวมแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ ได้แก่ 1) ระดับการศึกษา และ 2) อาชีพ ส่วนตัวแปรบางตัวที่มีความคิดเห็นต่อปัจจัยทางการตลาดประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจโดยรวมไม่แตกต่างกัน ได้แก่ 1) เพศ 2) อายุ และ 3) รายได้ และเมื่อแยกเป็นรายด้านพบว่า กลุ่มตัวอย่างที่มีอายุแตกต่างกัน จะมีความคิดเห็นต่อปัจจัยทางการตลาดประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจด้านการดูแลเอาใจใส่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ และกลุ่มตัวอย่างที่มีระดับรายได้แตกต่างกัน จะมีความคิดเห็นต่อปัจจัยทางการตลาดประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจด้านความสะดวกที่ลูกค้าได้รับแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ ผลการทดสอบสมมติฐานที่ 2 พบว่า ผู้เอาประกันภัยในเขตกรุงเทพมหานครที่มีความถี่ในการเปิดรับข่าวสารแตกต่างกัน จะมีความคิดเห็นต่อปัจจัยทางการตลาดประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจโดยรวมแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ ส่วนกลุ่มตัวอย่างที่เลือกสื่อเปิดรับข่าวสารแตกต่างกัน จะมีความคิดเห็นต่อปัจจัยทางการตลาดประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจโดยรวมไม่แตกต่างกัน แต่เมื่อแยกเป็นรายด้านพบว่า กลุ่มตัวอย่างที่เลือกสื่อเปิดรับข่าวสารแตกต่างกัน จะมีความคิดเห็นต่อปัจจัยทางการตลาดประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจรายด้านแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ ได้แก่ 1) ด้านอัตราเบี้ยประกันภัย 2) ด้านความสะดวกที่ลูกค้าได้รับ 3) ด้านการติดต่อสื่อสาร 4) ด้านการดูแลเอาใจใส่ และ 5) ด้านความสำเร็จในการตอบสนองความต้องการ