ปัจจัยส่วนประสมการตลาด การคำนึงต่อการดูแลสุภาพด้านความงามและการรับรู้ความความแตกต่างที่มีผลต่อการตัดสินใจเลือกซื้อครีมบำรุงผิวหน้า

Abstract

การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ คือ เพื่อศึกษาถึงปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดในการตัดสินใจ ซื้อผลิตภัณฑ์ การคำนึงต่อการดูแลสุขภาพด้านความงามและการรับรู้ถึงความแตกต่างของครีมบำรุง ผิวหน้าที่ส่งผลต่อการตัดสินใจเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ครีมบำรุงผิวหน้าของผู้บริโภคในเขต กรุงเทพมหานคร ประชากรในการศึกษา คือ ผู้บริโภคเพศหญิงอายุตั้งแต่ 20 ปีขึ้นไป ที่เคยซื้อ ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้า โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่าง 250 คน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์ โดยวิธี Logistic Regression Analysis ผลการวิจัย พบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง มีอายุ 26-30 ปี การศึกษาปริญญาตรี เป็นพนังงานบริษัทเอกชน มีรายได้ต่อเดือน 10,000-20,000 บาท ใช้ผลิตภัณฑ์ครีม/โลชั่น บำรุงหน้าขาว มากกว่า 1 ปีในการเปลี่ยนยี่ห้อครีม ซื้อครีม 1-2 เดือนต่อครั้ง ค่าใช้จ่ายในการซื้อครีม 1,000- 2,000 บาท เมื่อพิจารณาถึง ส่วนประสมทางการตลาดในการตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์ พบว่า ผู้บริโภค ให้ความสำคัญต่อปัจจัยด้านราคามากที่สุด ตามด้วยด้านผลิตภัณฑ์ ด้านการส่งเสริมการตลาด และด้านการจัดจาหน่าย สำหรับ การคำนึงต่อการดูแลสุขภาพด้านความงาม พบว่า ผู้บริโภคการคำนึงต่อ การดูแลสุขภาพด้านความงามในมาก ในขณะที่ การรับรู้ถึงความแตกต่างของครีมบำรุงผิวหน้าอยู่ในระดับมาก ผลการทดสอบสมมติฐาน พบว่า ปัจจัยส่วนประสมทางการตลาด การคำนึงถึงการดูแลสุภาพ ด้านความงามและการรับรู้ความแตกต่างของครีมบำรุงผิวหน้าไม่ส่งผลต่อการการตัดสินใจซื้อครีม บำรุงผิวหน้าของผู้บริโภค อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05

Objectives of this research are to study marketing mix factors in decision to purchase products awareness of aesthetic health care and perception of differences of facial creams, which affect decision to purchase facial creams of the consumers in Bangkok. The population in the study were female consumers, who were 20 years of age or more and had purchased facial products, thereby using questionnaires as means to collect the data from the sample groups of 250 people. The statistics, which were used in the data analysis, were frequency, percentage, average, standard deviation and method of Logistic Regression Analysis. The research found that the majority of the sample group were females, who were 26-30 years of age, had bachelor's degrees, worked as private companies' employees, earned income in amounts of 10,000-20,000 Baht per month, had been using facial cream/lotion products for more than 1 year, changing the brands of the products once or twice a month, and spending 1,000-2,000 Baht per month on the products. After the marketing mix factors in decision to the purchase products were taken into consideration, it found that the consumers deemed factors of the prices, the products, the marketing promotion and the distribution to be the most important, respectively. As to the awareness of aesthetic health care, it was found that the consumers highly took the awareness of aesthetic health care into consideration, whereas differences of the facial creams were perceived to be in high levels. The hypothesis test found that the marketing mix factors of: awareness of aesthetic health care; and perception of differences of the facial creams did not have statistically significant effect on the consumers' decision to purchase the facial creams at the level of .05