การศึกษาอิทธิพลของกรอบมาตรฐานการพัฒนาสมรรถนะที่มีผลต่อความสำเร็จในการปฏิบัติงาน กรณีศึกษาผู้บริหารองค์กรภาครัฐและเอกชน

Abstract

การศึกษาวิจัยเรื่อง “การศึกษาอิทธิพลของกรอบมาตรฐานการพัฒนาสมรรถนะที่มีผลต่อความสำเร็จในการปฏิบัติงาน: กรณีศึกษาผู้บริหารองค์กรภาครัฐและเอกชน” มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความแตกต่างของปัจจัยคุณสมบัติส่วนบุคคลของผู้บริหารที่มีต่อความสำเร็จในการปฏิบัติงาน ของผู้บริหารองค์กรภาครัฐและเอกชน และเพื่อศึกษาอิทธิพลของการบริหารการเปลี่ยนแปลง มนุษยสัมพันธ์ คุณธรรม จริยธรรม และ แบบของการเป็นผู้นำ ที่มีผลต่อความสำเร็จในการปฏิบัติงานของผู้บริหารองค์กรภาครัฐและเอกชน จำนวน 400 คน เครื่องมือที่ใช้ในการรวบรวบเก็บข้อมูล คือ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลคือ ได้แก่ ค่าร้อยละ (Percentage) ค่าเฉลี่ย (Mean) และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) สถิติทดสอบหาความแตกต่างค่าที (T-test) ในกรณีการเปรียบเทียบของกลุ่ม 2 กลุ่ม และจะใช้สถิติทดสอบหาความแตกต่างค่าเอฟ (F-test) หรือการทดสอบความแปรปรวนทางเดียว (One-way Analysis of Variance: One-way ANOVA) เมื่อพบความแตกต่างจะทำการทดสอบด้วยการเปรียบเทียบเป็นรายคู่ (Multiple Comparisons) ด้วยวิธีของ เชฟเฟ่ (Scheffe) และ สถิติทดสอบหาความสัมพันธ์แบบถดถอยเชิงพหุ (Multiple Regression Analysis) ผลการศึกษาพบว่า ด้านการบริหารการเปลี่ยนแปลงมีระดับความคิดเห็นโดยรวม อยู่ในระดับมาก ด้านมนุษยสัมพันธ์มีระดับความคิดเห็นโดยรวมอยู่ในระดับมาก ด้านคุณธรรม จริยธรรมมีระดับความคิดเห็นโดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด ด้านแบบชองการเป็นผู้นำ มีระดับความคิดเห็นโดยรวม อยู่ในระดับมาก ผลการทดสอบสมมติฐานพบว่า ด้านการบริหารการเปลี่ยนแปลงด้านการกระจายอำนาจ ด้านการยึดมั่นในการดำเนินงาน ด้านการมีส่วนร่วมในการกำหนดมาตรฐานงาน และด้านความกระตือรือร้นต่อการเปลี่ยนแปลงในเรื่องของอาเซียน (AEC) มีผลต่อความจงรักภักดีต่อองค์กรของผู้บริหารภาครัฐและภาคเอกชน ในด้านการบริหารการเปลี่ยนแปลง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 และ ด้านมนุษยสัมพันธ์ พบว่า ด้านการกำกับดูแลตรวจสอบ และด้านการร่วมพิธี หรือกิจกรรมต่างๆ มีผลต่อความจงรักภักดีต่อองค์กรของผู้บริหารภาครัฐและภาคเอกชน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 และด้านคุณธรรม จริยธรรม พบว่า ด้านการปฏิบัติตามกฎระเบียบข้อบังคับ มีผลต่อความจงรักภักดีต่อองค์กรของผู้บริหารภาครัฐและภาคเอกชน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 และ ด้านแบบของการเป็นผู้นำ พบว่า ด้านการช่วยผู้ใต้บังคับบัญชาแก้ไขปัญหา และด้านการให้อิสระในการทำงานมีผลต่อความจงรักภักดีต่อองค์กรของผู้บริหารภาครัฐและภาคเอกชนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05

The study “The Impact of the Competency Development Standardization’s Framework Affecting Work Achievement: A Case Study of Government and Private Management Level” aims at studying the diversity of government and private management level’s personal qualifications and the impact of change management, interpersonal relationship, ethical behavior , and leadership style which affect to the work achievement for 400 persons. The research instrument is questionnaire. Statistics used for the information analysis are Percentage, Mean and Standard Deviation. Also, T-Test is used in case of comparison between two groups, and F-Test or One-Way Analysis of Variance (One-Way ANOVA) is used when the difference found. In addition, the difference would be examined by Multiple Comparisons (Scheffe Method) and Multiple Regression Analysis. The result showed that their assessments toward change management, interpersonal relationship, and leadership style were satisfied at a high level while ethical behavior showed the assessments were satisfied at the highest level. The hypotheses testing resulted in the various aspects: 1) Decentralization, operation adherence, work standardizing participation, and enthusiasm against ASEAN Economic Community (AEC) affected to the organization loyalty of government and private management level in terms of change management at a statistical significance of level 0.05. 2) Interpersonal relationship in terms of audition and activities participation was at a statistical significance of level 0.05. 3) Ethical behavior in terms of following the rules was at a statistical significance of level 0.05. 4) Leadership style in terms of subordinate problem solving assistance and work emancipation was at a statistical significance of level 0.05.