ปัจจัยส่วนประสมการตลาดและลักษณะส่วนบุคคลของผู้ใช้บริการ ที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการใช้บริการสปาเพื่อสุขภาพ ของผู้บริโภคในเขตกรุงเทพมหานคร

Abstract

งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ คือ 1) เพื่อเปรียบเทียบความสำคัญของปัจจัยส่วนประสมการตลาดในการตัดสินใจใช้บริการสปาเพื่อสุขภาพของผู้ใช้บริการที่มีลักษณะส่วนบุคคลต่างกัน 2) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างลักษณะส่วนบุคคลของผู้ใช้บริการกับพฤติกรรมการใช้บริการ และ 3) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดในการตัดสินใจใช้บริการกับพฤติกรรมการใช้บริการ ประชากรในการวิจัย คือ ผู้ใช้บริการสปาเพื่อสุขภาพในเขตกรุงเทพมหานคร โดยเก็บรวบรวมข้อมูลจากตัวอย่าง จำนวน 400 คน ด้วยวิธีการสุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง สถิติสาหรับการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที การวิเคราะห์ความแปรปรวนแบบทางเดียว และการวิเคราะห์สไคว์สแคว ผลการทดสอบสมมติฐานพบว่า ผู้ใช้บริการสปาที่มีเพศ ระดับรายได้ต่อเดือน และอาชีพต่างกันให้ความสาคัญต่อปัจจัยส่วนประสมการตลาดในการตัดสินใจเลือกใช้บริการสปาในภาพรวมแตกต่างกัน ส่วนผู้ใช้บริการสปาที่มีอายุและสถานภาพต่างกัน ให้ความสำคัญต่อปัจจัยส่วนประสมการตลาดในภาพรวมไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 เมื่อทดสอบความสัมพันธ์พบว่า เพศและอายุไม่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการใช้บริการสปาเพื่อสุขภาพ ในขณะที่สถานภาพ และรายได้ต่อเดือนมีความสัมพันธ์กับประเภทของบริการสปาเพื่อสุขภาพ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ระดับ 0.05 นอกจากนี้ยังพบว่า ค่าใช้จ่ายในการใช้บริการสปาเพื่อสุขภาพต่อครั้งและต่อเดือน พนักงานที่ให้บริการ สิ่งที่นำเสนอทางกายภาพและรูปแบบการให้บริการ มีความสัมพันธ์กับความสาคัญของปัจจัยส่วนประสมทางการตลาด ส่วนการใช้บริการสปาเพื่อสุขภาพเฉลี่ยต่อเดือน ช่วงวันและเวลา บุคคลที่มีส่วนในการแนะนำการตัดสินใจ ไม่มีความสัมพันธ์กับปัจจัยส่วนประสม ทางการตลาด อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05

The objectives of this research were 1) to conduct a comparative study on the marketing mix factors affecting the decision to use spa services to improve health among consumers with different personal characteristics, 2) to study the relationship between personal characteristics and behaviors in using the services, and 3) to examine the relationship between the marketing mix factors used in making a decision to use the services and the behaviors in using the services. The population in this study included 400 people in Bangkok who used spa services to improve their health, selected by using the purposive sampling method. The statistical data analysis was conducted using descriptive statistics including percentage, mean, and standard deviation, and the inferential statistics including independent sample t–test, One–Way ANOVA, and Chi–Square test. The result from the hypothesis testing revealed that the spa users with different gender, monthly income, and occupation had different views in terms of the overall marketing mix factors in deciding to use the spa services. However, there was no difference among the spa users with different age and marital status, with a statistical significance of 0.05. The test of relationship between different aspects showed that there was no relationship between gender, age, and behaviors in using the spa services to improve health. On the other hand, there was a relationship between marital status and monthly income and the type of health spa services, with a statistical significance of 0.05. In addition, it was found that there was a relationship between the cost of health spa services per time and month, spa staff, physical presentation, types of service and the marketing mix factors. However, there was no relationship between the average use of the health spa service per month, day and time, persons who made the recommendations and the marketing mix factors, with a statistical significance of 0.05.